ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของ นายกิตติทัต น่ะ คับ

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หน่วยเรียนที่ 2  ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


1. ระบบและวิธีการเชิงระบบ
     การทำงานใดๆให้ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมาย ย่อมเกิดจากพื้นฐานวิธีการที่มีลำดับและขั้นตอนสามารถปฏิบัติซ้ำๆได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล เรียกกระบวนการและขั้นตอนว่า "ระบบ"

ระบบ (System)  หมายถึง เป็นกลุ่มขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน เพื่อจุดประสงค์ในสิ่งเดียวกัน ระบบอาจประกอบด้วยบุคลากร เครื่องมือ วัสดุ วิธีการ การจัดการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบในการจัดการเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์เดียวกัน คำว่า "ระบบ"


วิธีการเชิงระบบ (Systems Approach)  หมายถึง  เป็นการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้อย่างประหยัดให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ เพื่อให้การทำงานนั้น ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ถ้าระบบการทำงานใด ๆ มีผลผลิตหรือผลที่ได้รับ (output) ทั้งคุณภาพและปริมาณมากกว่าทรัพยากร หรือข้อมูล (input) ที่ใช้ก็ถือว่าระบบนั้นมีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้ามถ้าหาระบบการทำงานใด มีผลผลิต หรือผลที่ได้รับต่ำกว่าทรัพยากรที่ใช้ไป ก็ถือว่าระบบนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบของวิธีระบบ

  
    วิธีระบบมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่


1. สิ่งนำเข้า (Input) ได้แก่ การกำหนดปัญหา จุดมุ่งหมายทรัพยากรที่ใช้

2. กระบวนการ (Process) ได้แก่การลงมือแก้ปัญหา การวิเคราะห์ข้อมูล การนำวัตถุดิบมาใช้ มาจัดกระทำอย่างเหมาะสมเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย

3. ผลผลิต (Output) คือผลที่ได้จากการแก้ปัญหาหรือสรุปการวิเคราะห์เพื่อประเมินต่อไป


4. ผลย้อนกลับ (Feedback) คือการตรวจสอบผลผลิตเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพต่อไป

2.ระบบสารสนเทศ
  
    ระบบสารสนเทศ (Information System) คือ ขบวนการประมวลผลข่าวสารที่มีอยู่ ให้อยู่ในรูปของข่าวสารที่ เป็นประโยชน์สูง สุด เพื่อเป็นข้อสรุปที่ใช้สนับสนุนการตัดสินใจของบุคคลระดับบริหาร
ขบวนการที่ทำให้เกิดข่าวสารสารสนเทศนี้ เรียกว่า การประมวลผลผลสารสนเทศ (Information Processing) และเรียกวิธีการประมวลผลสารสนเทศด้วยเครื่องมือทางอีเล็กทรอนิกส์ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT)
ระบบสารสนเทศจึงเป็นระบบที่จัดตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับข้อมูล ดังต่อไปนี้

1. รวบรวมข้อมูลทั้งภายใน ภายนอก ที่จำเป็นต่อหน่วยงาน

2. จัดทำเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อให้เป็นสารสนเทศที่พร้อมจะใช้ประโยชน์ได้

3. จัดให้ระบบเก็บเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกต่อการค้นหาและนำไปใช้

4. มีการปรับปรุงข้อมูลเสมอเพื่อให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้องและเป็ยปัจจุบันตลอดเวลา




3. องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
  การจำแนกองค์ประกอบขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของแต่ละงาน ในที่นี้จำแนกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

3.1 องค์ประกอบหลักของระบบสารสนเทศ

    มีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วนได้แก่ ระบบการคิด และ ระบบของเครื่องมือ
ระบบการคิด หมายถึง กระบวนการและขั้นตอนในการจัดลำดับ จำแนก แจกแจง และจัดหมวดหมู่ข้อมูลต่างๆ เพื่อสะดวกในการจัดเก็บและเผยแพร่

ระบบเครื่องมือ  หมายถึง  วัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่นำมาใช้รวบรวม จัดเก็บ และเผยแพร่สารสนเทศให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

3.2 องค์ประกอบด้านต่างๆ ของระบบสารสนเทศ

    เป็นวิธีการหรือกระบวนการในการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงาน ดังนั้นองค์ประกอบสารสนเทศของแต่ละด้านจึงแตกต่างกัน ดังนี้

3.2.1 องค์ประกอบของสารสนเทศด้านจดมุ่งหมาย  การแก้ปํญหา มี 4 ประการ ได้แก่ ข้อมูล (Data) สารสนเทศ (Information) ความรู้ (Knowledge) ปัญญา (Wisdom) ช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินงาน




      แผนภาพที่ 2.1 องค์ประกอบด้านจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหา

3.2.2 องค์ประกอบของสารสนเทศด้านขั้นตอน  ในการดำเนินงานมี 3 ประการ คือ ข้อมูลนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลลัพธ์ (output) เพื่อนำออกมาเผยแพร่



    แผนภาพที่ 2.2 องค์ประกอบด้านกระบวนการในการดำเนินงาน

3.2.3 องค์ประกอบของสารสนเทศในหน่วยงาน ได้แก่ บุคคลหรือองค์กร เทคโนโลยี ข้อมูล และระบบสารสนเทศ


         แผนภาพที่ 2.3 องค์ประกอบของสารสนเทศในหน่วยงาน

3.2.4 องค์ประกอบระบบสานสนเทศทั่วไป (Information Process Systems) มี 5 องค์ประกอบ  ได้แก่  ฮาร์ดแวร์ (hardware)  ซอฟต์แวร์ (software)  ข้อมูล (data) บุคลากร (people ware)  สารสนเทศ (information) 

    
    - ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้าง
    - ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นชุดคำสั่งที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน
    - ข้อมูล เป็นส่วนที่จะนำไปจัดเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์
    - บุคลากร  เป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานคอมพิวเตอร์
    - สารสนเทศ  ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์



               แผนภาพที่ 2.4 องค์ประกอบระบบสารสนเทศทั่วไป

4. ขั้นตอนการจัดระบบสารสนเทศ
    เป็นการกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานและการแก้ปัญหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานสารสนเทศ ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้


ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis)
                วิธีการวิเคราะห์ระบบสารสนเทศ  แบ่งออกเป็น 4 หน่วยย่อยคือ
          
    1)  วิธีวิเคราะห์แนวทางการปฏิบัติงาน (Mission Analysis) คือ การพิจารณาทิศทางในการดำเนินการและจุดมุ่งหมายของระบบสารสนเทศ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้  ผู้วิเคราะห์ต้องรู้ถึงองค์ประกอบของกระบวนการแก้ปัญหาด้วยสารสนเทศ โดยกำหนดจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติงานอย่างกว้าง ๆ ให้ครอบคลุมสภาพปัญหาไปสู่สภาพที่พึงประสงค์ เพื่อเป็นเกณฑ์ว่างานนั้นสำเร็จดีหรือไม่มีปัญหาอุปสรรค ข้อบกพร่องหรือไม่อย่างไร
          
    2)  วิเคราะห์หน้าที่ (Functional Analysis) เป็นการกำหนดหน้าที่โดยละเอียดตามที่กำหนดไว้ในแนวทางปฏิบัติงานเกี่ยวกับสารสนเทศ
         
    3)  วิเคราะห์งาน (Task Analysis) เป็นการกำหนดสิ่งที่ต้องการกระทำตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ในขั้นการวิเคราะห์หน้าที่ การวิเคราะห์หน้าที่และงานเป็นสิ่งขยายขั้นการวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติงาน
          
    4)  วิเคราะห์วิธีการและสื่อ (Method-Means Analysis) เป็นการกำหนดหลักการปฏิบัติ กลวิธี และสื่อที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมาย หรือสิ่งที่ต้องการ

ขั้นที่ 2 การสังเคราะห์ระบบ (System Synthesis)
             วิธีการสังเคราะห์ระบบช่วยเกลี่ยน้ำหนักเนื้อหาหรือภาระงานของขั้นตอนต่าง ๆ ให้มีความสมดุลในการแก้ปัญหาซึ่งมีขั้นตอนย่อยดังนี้
          
    1)  การเลือกวิธีการหรือกลวิธี เพื่อหาช่องทางไปสู่จุดมุ่งหมายแล้วทดสอบและทดลองกลวิธี  เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมกับสารสนเทศที่วิเคราะห์และสังเคราะห์ไว้
          
    2)  ดำเนินการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเลือกกลวิธีที่เหมาะสมที่วางแผนแล้วก่อนใช้กลวิธีนั้นดำเนินการแก้ปัญหา
          
    3)  ประเมินผลประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยการแก้ปัญหาแล้วประเมินผลเพื่อหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้

ขั้นที่ 3 การสร้างแบบจำลอง (Construct a Model)
                
     แบบจำลองเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นภาพที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นภาพลายเส้น หรือรูปสามมิติ แบบจำลองระบบทำให้เข้าใจโครงสร้าง องค์ประกอบ และขั้นตอนในการดำเนินงาน สามารถตรวจสอบหรือทำนายผลที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะนำระบบไปใช้จริง  ระบบการทำงานแม้จะมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน แต่อาจจะมีแบบจำลองระบบไม่เหมือนกัน

ประเภทของระบบสารสนเทศ
    การจำแนกสารสนเทศตามจำนวนคนที่เกี่ยวข้องในองค์กร แบ่งได้ 3 ระดับ คือ ระบบสารสนเทศระดับบุคคล ระบบสารสนเทศระดับกลุ่ม และระบบสารสนเทศระดับองค์กร

1. ระบบสารสนเทศระดับบุคคล  คือ ระบบเสริมประสิทธิภาพและเพิ่มผลงานให้แต่ละบุคคลในหน้าที่รับผิดชอบ

2. ระบบสารสนเทศระดับกลุ่ม  คือ ที่ช่วยเสริมการทำงานของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายการทำงานร่วมกันให้มีประสิธิภาพมากขึ้น

3. ระบบสารสนเทศระดับองค์กร  คือ ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรในภาพรวม เพื่ออำนวยสะดวกในการปฏิบัติงานร่วมกันของหลายแผนก

6. ข้อูลและสารสนเทศ
     การทำงานใดๆ ที่ได้ผลดีจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องครอบคลุมและตรงประเด็นประกอบการตัดสินใจในการเลือกวัตถุดิบ เนื้อหาสาระ บุคลากร และวิธีการปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม

6.1 ข้อมูล (data)
      ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจ ข้อเท็จจริงที่เป็นตัวเลข ข้อความ หรือรายละเอียดซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง วีดิโอไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ  ข้อมูลเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และต้องถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วน ขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการที่ให้ความสำคัญของความรวดเร็วของการเก็บข้อมูล ดังนั้นการเก็บข้อมูลจึงเป็นการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจนั่นเอง ข้อมูลจึงหมายถึงตัวแทนของข้อเท็จจริง หรือความเป็นไปของสิ่งของที่เราสนใจ
  
        ข้อมูลดิบ (raw data)  หมายถึง วัตถุสิ่งของ เหตุการณ์ สถานการณ์ ที่มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติอยู่ในสภาพเดิม มีความอิสระเป็นเอกเทศในตัวมันเองยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง ไม่ได้ถูกนำไป แปรรูปหรือประยุกต์ใช้กับงานใด 

6.2 สารสนเทศ (Information) 
     สารสนเทศ  หมายถึง  ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

6.2.1 คุณสมบัติของข้อมูลสารสนเทศที่ดี
       1. มีความถูกต้องแม่นยำ (accuracy)  สารสนเทศที่ดีจะต้องตรงกับความเป็นจริงและเชื่อถือได้ สารสนเทศบางอย่างมีความสำคัญ หากไม่ตรงกับความเป็นจริงแล้ว อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ สารสนเทศที่ถูกต้องแม่นยำจะต้องเกิดจากการป้อนข้อมูลรวมถึงโปรแกรมที่ประมวลผลจะต้องถูกต้อง

       2. ทันต่อเวลา (timeliness)  ที่ดีต้องทันต่อการใช้งาน หมายถึง ข้อมูลที่ป้อนให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องมีความเป็นปัจจุบันทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ตัวอย่างเช่น ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ปกครองนักเรียน จะต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย หากหมายเลขโทรศัพท์ล้าสมัยก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครองได้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน

      3. มีความสมบูรณ์ครอบถ้วน (complete)  สารสนเทศที่ดีจะต้องมีความครบถ้วน สารสนเทศที่มีความครบถ้วนเกิดจากการเก็บข้อมูลได้ครบถ้วน หากเก็บข้อมูลเพียงบางส่วนก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้เต็มประสิทธิภาพ ตัวอย่าง เช่น ข้อมูลนักเรียน ก็จะต้องมีการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับนักเรียนให้ได้มากที่สุด เช่น ชื่อ อายุ ที่อยู่ ชื่อผู้ปกครอง หมายเลขโทรศัพท์ โรคประจำตัว คะแนนที่ได้รับในแต่ละวิชา เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ครูสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีข้อมูลของหมายเลขโทรศัพท์ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครองได้เช่นเดียวกัน

      4. มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ (relevancy)  สารสนเทศจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของผุ้ใช้ กล่าวคือ การเก็บข้อมูลต้องมีการสอบถามการใช้งานของผู้ใช้ว่าต้องการในเรื่องใดบ้าง จึงจะสามารถสรุปสารสนเทศได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากต้องการเก็บข้อมูลของนักเรียนก็ต้องถามครูว่าต้องการเก็บข้อมูลใดบ้าง เพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง



      5. สามารถพิสูจน์ได้ (verifiable) สารสนเทศที่ดีจะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศได้

6.2.2 ขนิดของข้อมูล
     มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการจำแนก ในที่นี้จำแนกข้อมูลตามลักษณะการจัดเก็บซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ

1. ข้อมูลที่เป็นตัวเลข (Numeric type) ใช้ระบุความหมายของสิ่งต่างๆ ในเชิงปริมาณ

2. ข้อมูลที่เป็นอักขระ (Character type) ใช้บรรยากาศความหมายหรือแทนข้อมูล

3. ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเลข (Alphanumeric type) มีทั้งตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ

4. ข้อมูลมัลติมีเดีย (multimedia) หรือสื่อประสม เช่น ภาพ เสียง ข้อความ ปนกัน




                                                     แผนภาพที่ 2.5 ชนิดของข้อมูลที่เป็นตัวเลข



                                            แผนภาพที่ 2.6  ชนิดของข้อมูลที่เป็นอักขระ

                                             
                                              แผนภาพที่ 2.7  ชนิดของข้อมูลที่เป็นอักษรเลข


แผนภาพที่ 2.8 ชนิดของข้อมูลมัลติเดีย
6.3 ความรู้ (Knowledge)
    ความรู้ เป็นสภาวะทางสติปัญญาของมนุษย์ในการตีความสิ่งเร้าทั้งที่ อยู่ภายในและภายนอกด้วยความเข้าใจสาระเนื้อหา กระบวนการ และขั้นตอน อาจอยู่ในรูปของข้อมูลดิบหรือสารสนเทศระดับต่างๆ


แผนภาพที่ 2.9 ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล สารสนเทศ และความรู้

6.4 การประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ
      การสร้างสารสนเทศได้ต้องอาศัยกระบวนการรวบรวมและประมวลผลโดยมีวิธีการจัดการดังนี้

6.4.1 ขั้นตอนการประมวล (Data processing steps)  ข้อมูลในโลกนี้มีมากมายหลายชนิดดังกล่าวแล้ว การจะหาขข้อมูลได้จะต้องมีการประมวลผลตามขั้นตอนต่างๆ ที่เหมาะสม ดังนี้
   
1) การรวบรวมข้อมูล (Data collection) หมายถึง การเก็บข้อมูลจำนวนมากจากแหล่งกำเนิด (capturing) มาทำการเข้ารหัส (Coding) ที่เหมาะสมต่อการจัดเก็บ และการบันทึก (recording) ในสื่อที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้นานๆ
  
 2)  การบำรุงรักษาและประมวลผลข้อมูล (Data Maintenance Processing) เป็นกระบวนการเก็บรักษาข้อมูลไว้ให้ใช้ได้ตลอดไป ซึ่งอาจประกอบด้วยปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยตลอดเวลา (updating)  ทำการแยกประเภท  (classifying)  จัดเรียงข้อมูล  (sorting)  และคำนวณหาข้อมูลใหม่จากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว  (calculating)  เพื่อให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น
 
 3)  การจัดการข้อมูล (Data Management) คือการสร้างระบบจัดการข้อมูลจำนวนมาก ให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันเวลา  ซึ่งประกอบด้วยการจัดเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลอย่างเป็นระบบ

4) การควบคุมข้อมูล (Data Control) เป็นการป้องกันรักษาข้อมูลที่จัดเก็บไว้แล้วให้ปลอดภัย  ไม่ให้ข้อมูลที่มีค่าถูกขโมยไปใช้งานอย่างไม่ถูกต้อง

5)  การสร้างสารสนเทศ (Information Generation) เป็นการตีความหมายของข้อมูลที่ได้มาแล้ว ค้นหาความหมายหรือความสำคัญที่มีคุณค่าของข้อมูลที่ได้โดยการนำไปประมวลผลด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง  เช่น  การคำนวณ  การเรียงข้อมูล  (sorting)  การค้นหา (searching) องของสารสนเทศได้
     
6.4.2 วิธีการเก็บข้อมูล (Data Collection Methods) 
    ข้อมูลอาจเกิดขึ้นเองหรือเกิดจากการสร้าง การทดลอง และการประมวลผลก็ได้เมื่อต้องการได้ความรู้หรือคุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องเก็บข้อมูลของสิ่งนั้นเพื่อนำประมวลผลให้เป็นสารสนเทศ

1. การสำรวจด้วยแบบสอบถาม  ในการสำรวจข้อมูลความคิดเห็น อาจจำเป็นต้องทำแบบสอบถาม เพื่อให้ง่ายต่อการตอบและรวบรวมข้อมูล


2. การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นเจ้าของข้อมูล  อาจใช้วิธีเก็บข้อมูลด้วยการแจกแบบสอบถามให้กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการทราบข้อมูล


3. การนับจำนวนหรือวัดขนาดของตนเอง หรือโดยใช้อุปกรณ์อัตโนมัติ  ข้อจำเป็นต้องมีที่เกี่ยวข้องไปนับหรือวัดด้วยตนเอง


แผนภาพที่ 2.10 ตัวอย่างแบบสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเกิดอุบัติเหตุ

เครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสื่อสารข้อมูล   หมายถึง  คอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องประมวลผลข้อมูล ซึ่งมีอยู่  2  ประเภทด้วยกัน  คือ
      1.  สถานีงาน  หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน ณ จุดที่จัดไว้ใช้ให้ผู้ใช้มาใช้ร่วมกันหรือจัดไว้ให้ผู้ใช้มาใช้ร่วมกัน หรือจัดไว้ที่โต๊ะทำงานของผู้ใช้แต่ละคน  บางทีเรียกว่า  คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือเรียกย่อๆ ว่า  PC  หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ใช้ส่วนตัว มีหลายแบบ เช่น  คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ที่มีจอแสงคล้ายโทรทัศน์และเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใกล้เคียงกับหนังสือสามารถนำติดตัวไปใช้ในที่ใดก็ได้ เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
      
      2.  เครื่องบริการ  เป็นเครื่องขนาดใหญ่ที่ใช้ร่วมกันหลายคนเป็นเครื่องที่ใช้เก็บบานข้อมูลหรือโปรแกรมสำเร็จประยุกต์ จำนวนมากที่สามารถใช้ร่วมกันโดยการสั่งงานด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องบริการจะมีโปรแกรมควบคุมการทำงานซึ่งเรียกว่า  ระบบปฏิบัติการเครือข่าย  ที่มีระบบการทำงานและชื่อเครื่องหมายการค้าแตกต่างกัน ที่นิยมกันมากในขณะนี้ได้แก่ Linux Server, UNIX server, Windows NT server, Windows 2000 server


  เครือข่ายสื่อสารข้อมูล  คือ  เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกันให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันหรือแลกเปลี่ยนกันได้  โดยใช้สายสื่อสารข้อมูลที่ทำจากทองแดงหรือเส้นใยแก้วนำแสง นิยมแบ่งเครือข่ายตามขนาดพื้นที่ และจำนวนเครื่องที่ใช้งาน  ได้แก่

1.  แลน  คือ  เครือข่ายบริเวณเฉพาะที่ จำกัดเขตเฉพาะภายในบริเวณอาคารหรือกลุ่มอาคารที่อยู่ใกล้กัน  เนื่องจากข้อจำกัดของตัวกลางที่ใช้ส่งข้อมูล เช่น ภายในรั้วโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น

2.  แวน  คือ  เครือข่ายบริเวณกว้าง ระยะทางมากกว่า 10 กิโลเมตร ขึ้นไปจนมากกว่าหลายพันกิโลเมตร  ปกติเชื่อมโยงด้วยระบบสื่อสารสาธารณะ เช่น สายโทรศัพท์ เครือข่ายเส้นใยแก้วนำแสง  หรือเครือข่ายสัญญาณดาวเทียม  เป็นต้น

3. อินเทอร์เน็ต คือ  เครือข่ายขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครือข่ายแวนจำนวนมาก  ซึ่งครอบคลุมพื้นฐานที่กว้างไกลทั่วโลก 

2 ความคิดเห็น:

  1. สวยมากค่ะ เนื้อหาก็น่าอ่าน

    ตอบลบ
  2. เนื้อหาหน้าอ่านมาก ทำได้สะอาดตา เนื้อหาเรียบง่าย

    ตอบลบ